แม่ส้ม 20 กค 48
1. ใช้หลักสูตรจากชุดตำราสำเร็จรูปมาตรฐาน
ข้อง่าย
- ครอบครัวเกิดความสบายใจว่าลูกได้เรียนตามมาตรฐาน ได้ความรู้ทางวิชาการเท่ากับเด็กในระบบโรงเรียน
- เนื้อหาเรียงตามลำดับบทอยู่แล้ว ทำให้จัดตารางเรียน และเตรียมการสอนได้ง่าย
- เนื้อหามีความต่อเนื่อง
- พ่อแม่มีความคุ้นเคย เพราะเติบโตมากับหลักสูตรตำราแบบนี้
- ตำราเรียนมาตรฐานทำให้ประเมินและสอบเก็บคะแนนได้ง่าย
- ตำราเรียนส่วนมากมีชุดข้อสอบมาให้อยู่แล้ว จึงทำให้ง่ายต่อการเก็บคะแนนสำหรับการประเมิน และง่ายต่อการยื่นแสดงผลการเรียนให้กับหน่วยการศึกษาที่แจ้งจดชื่อเด็กไว้
- ตำราสำเร็จรูปเหมาะกับเด็กมัธยม ซึ่งมีเป้าประสงค์ในใจตัวเองแล้วว่าต้องไปสอบเข้าเรียนต่อสถาบันในระบบ และเป็นวัยที่ต้องการความรู้ที่เป็นสากลมากขึ้น
ข้อยาก
- เด็กส่วนใหญ่จะเบื่อ และไม่ชอบตำราเรียนสำเร็จรูป เพราะขาดแรงบันดาลใจ และไม่สนุก
- ทำให้เด็กขาดความคิดสร้างสรรค์ และไม่ท้าทายความใฝ่รู้
- พ่อแม่อาจจะเครียด หากลูกไม่สนใจเรียนเพราะเบื่อ
- พ่อแม่อาจใช้การบังคับ หรือทำโทษ เมื่อเด็กปฏิเสธตำราสำเร็จรูป
- ตำราเรียนสำเร็จรูปไม่เหมาะกับเด็กเล็กและเด็กประถม เพราะเป็นวัยที่ยังต้องการค้นหาความรู้จากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว ต้องการความรู้สดๆที่มีชีวิตชีวา และสัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน อีกทั้งความสนใจใคร่รู้ของเด็กวัยนี้ล้วนมาจากแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
- ตำราเรียนชุดมาตรฐานมีราคาแพง (หากต้องซื้อทั้งชุดทุกวิชา)
2. ใช้หลักสูตรบูรณาการชีวิต โดยอาศัยวิถีชีวิต-สิ่งแวดล้อม-สถานการณ์ เป็นทรัพยากรและเครื่องมือในการเรียนรู้
ข้อง่าย
- เด็กสนุก มีความสุขกับการเรียน
- มีแรงบันดาลใจ เกิดความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการมากมาย
- เด็กได้ฝึกการค้นคว้า วิเคราะห์ สังเคราะห์ ความรู้ด้วยตนเอง อันเป็นฐานของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- ทำให้การเรียนในแต่ละวันไม่น่าเบื่อ ทั้งพ่อแม่เองก็ได้ความรู้ใหม่ๆ ทุกวัน กลายเป็นโรงเรียนครอบครัว
- เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับชุมชน และผู้คนหลากหลาย ทำให้พัฒนาทักษะทางสังคมอย่างเป็นธรรมชาติ
- ทำให้เด็กมีความเชื่อมั่นและภาคภูมิใจในตัวเอง กล้าคิด กล้าแสดงออก
- ประหยัด หากพ่อแม่รู้จักปรับประยุกต์ทุกสถานการณ์ให้เป็นการเรียนรู้
ข้อยาก
- ถ้าพ่อแม่ชอบมีตารางเรียนที่ตายตัว อาจจะไม่เหมาะกับการเรียนแบบนี้ เพราะกิจกรรมในแต่ละวัน ต้องการความยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้า
- ครอบครัวที่ไม่คุ้นเคยกับการเรียนแบบนี้ อาจจะทำให้ไม่สบายใจและกังวล โดยเข้าใจว่าเด็กไม่ได้รับความรู้ทางวิชาการเท่ากับเด็กอื่น ๆ ในโรงเรียนทั่วไป
- หากต้องมีการเดินทางบ่อย ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
- การเรียนแบบนี้ไม่มีข้อสอบ หรือบทเรียนสำเร็จรูป ดังนั้นการเก็บผลการเรียน จึงต้องทำการบันทึกอย่างละเอียด หรือเก็บเป็นรูปถ่าย หรือวีดีทัศน์ พ่อแม่ต้องขยันบันทึกและสรุปการเรียนรู้ของลูกทุกวันหรือทุกสัปดาห์
- หากพ่อแม่ไม่มีทักษะในการเรียบเรียงสิ่งที่ลูกเรียนให้ออกมาเป็นข้อเขียนทางวิชาการ อาจทำให้ยากต่อการติดต่อขอเทียบโอนกับหน่วยงานการศึกษาของรัฐ
3. ผสมผสานทุกแบบเข้าด้วยกัน
ข้อดี
- เป็นการเดินทางสายกลาง
ข้อยาก
- ต้องเข้าใจภาพรวมของความรู้ของเด็กแต่ละช่วงวัย และจัดสัดส่วนของแต่ละวิธีให้เหมาะสม